19 ตุลาคม 2554

แท็กซี่พาเข้าป่า

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาบินกลับไปเรียนกราฟฟิคดีไซด์ เพิ่มเติมที่ไทย เพราะที่นี่ค่าเรียนมันแพง และอีกอย่างฝีมือกราฟฟิคดีไซด์ ของคนไทยก็ไม่ด้อยไปกว่าฝรั่งเลย เพียงแต่ว่าที่ไทยคนที่สนใจมีมาก แต่ขาดการสนับสนุน  เพราะโปรแกรมของแท้ราคาสูง และคอมที่จะมาทำกราฟฟิกได้ดีก็ต้องของแอปเปิ้ล แมคอินทอช  

พอเรียนครบกำหนด ก็ย้ายออกจากที่พักข้างโรงเรียน ไปที่โรงแรมแถวพระรามสี่  สามีเราบินตามลงมาเที่ยว  เค้าออกจากฝรั่งเศสบ่ายโมงตามเวลาฝรั่งเศส ถึงไทยก็ตีห้าของวันรุ่นขึ้นในเวลาไทย 


เราก็ต้องไปรับที่สนามบินดอนเมือง  สุวรรณภูมิสมัยนั้นยังสร้างไม่เสร็จ  เราเรียกแท็กซี่หน้าโรงแรม ตอนแรกพนักงานจะเรียกให้ เราบอกไม่ต้อง ลืมนึกไปว่าถ้าพนักงานเรียกเค้าจะมีการจดทะเบียนรถแท็กซี่ไว้


พอขึ้นไปก็บอกว่าไปสนามบินดอนเมือง  แท็กซี่เขียวเหลือง รถใหม่แอร์เย็น นั่งสบาย  คนขับหน้าตาดี ขาว แต่งตัวดี เค้าถามขึ้นทางด่วนนะครับ  รถจะได้ไม่ติด  เราก็เออได้  นึกในใจรถอะไรติดตอนตีห้าวะ  แต่ไม่พูด


พอขึ้นทางด่วนเค้ายิงยาวเลย  ฟ้ายังไม่สว่างดี  เราก็แปลกใจแล้วทำไมไม่ถึงสักที  มองด้านขวาตลอดสักพักเห็นหลังคาและป้ายอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ เราก็เออคงอีกไม่ถึงสิบนาที  เราก็เลยบอกพี่ไปผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศนะ


เค้าก็รับปาก  เราก็อุ่นใจนั่งต่อ  ไม่มองฝั่งขวาแล้ว  มองซ้ายไปเรื่อยๆ  ชมวิว เค้าก็เงียบไม่คุยอะไรเลย  ผ่านไปเกือบยี่สิบนาที  เค้าขับออกจากทางด่วนมาลงที่ไหนไม่รู้  ยังมืดมองไม่ออก เราก็ไม่ได้เชี่ยวชาญทาง  

แต่ที่แน่ๆมันเป็นป่า  เพราะถ้าไปดอนเมืองมันไม่ได้ออกนอกถนนใหญ่นี่  และที่สำคัญมันเลยสนามบินมามากแล้ว เราถามเลย  "พี่ทำไมมาลงตรงนี้  เค้าบอกทางเข้าตรงนั้นปิดต้องเข้าทางนี้ครับทางลัด "


ในใจเรารู้แล้วโดนแน่ ku  ทางลัดอะไรล่ะป่าทั้งนั้น  ไม่กล้าถามว่าที่ไหนกลัวเค้าจับได้ว่าเราไม่รู้ทาง เราเลยหยิบโทรศัพย์กดโทรออก พูดในโทรศัพย์บอก '' อืมตอนนี้ยังไม่ถึงนะ รถแท็กซี่ที่นั่งมาไม่ได้ไปลงที่สนามบิน  ตอนนี้ลงจากทางด่วนมาแล้วมีแต่ป่า  คนขับบอกทางเข้าตรงนั้นมันปิด พามาทางลัด คงอีกสักพักนะ อือ อือ ก็รีบอยู่ ออกมารอด้านหน้าอาคารละกันแท็กซี่เขียวเหลือง เลขทะเบียน ...... " พูดเสร็จวางสาย  หันไปบอกคนขับ  พี่ทำเวลาให้หนูหน่อย  

ตอนที่คุยโทรศัพย์เราก็ทำเป็นมองทาง แต่ไม่ใช่อ่ะ  จะดูคนขับ  เห็นอาการเค้าจะได้เอาตัวรอดทัน  เค้ามองเราผ่านกระจกตลอดเลย  ยิ่งตอนเราบอกทะเบียนรถเค้าลังเลนิดหน่อยเอง  เรามองชื่อป้ายหน้ารถไม่ไม่เห็นเพราะเรานั่งหลัง เห็นแต่รูปว่าไม่ใช่รูปเค้าแน่

ใจเสียบอกตรงๆกลัวสุดๆ  ไม่รู้ว่าแผนแกล้งโทรออกนี่ได้ผลป่าว  นึกถึงพระเลยตอนนั้น  เรียกพระ เรียกพ่อ เรียกแม่ให้ช่วยในใจ  พอออกมาจากสี่แยกไม่นาน ไม่ใช่ถนนใหญ่และ เริ่มเข้าซอย  เริ่มขับช้าลง เราก็หยิบโทรศัพย์ขึ้นมากดอีก

กดตั้งนาฬิกาปลุกตั้งเวลาหนึ่งนาที  พอนาฬิกาดังเราก็กดปิด แต่ทำเป็นรับสาย พูดคนเดียวนั่นแหละบอกว่า " เดี๋ยวก่อนสิ  จะให้บินไปเหรอ ก็คนขับบอกว่าตรงนั้นมันปิดลงไม่ได้  บ่นจัง  โทรไปถามเฮียสิ ดอนเมืองมันเขตพื้นที่เค้าคุมนี่  แค่นี้ก่อนนะ จะดูทาง " พูดเสร็จวางสาย  ต้องรีบวางพล่ามต่อไม่ได้  เดี๋ยวมีสายเข้ามาจริงๆแผนแตก 


พอดีเหมือนคุณพระช่วยให้รอด  มาถึงตรงแยกเล็กๆถ้าเลี้ยวซ้ายก็เข้าป่า มืดมองไม่สุดทางเลย  แต่ทางขวามองไปลึกๆเหมือนจะเป็นทางออกถนนใหญ่ได้  มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านสองคัน แท็กซี่จอดชะลอ มีมอเตอร์ไซค์พ่วงคันหนึ่ง เค้ากำลังขี่มาจากทางนั้น เป็นมอเตอร์ไซค์เล็กๆ  แต่ลากรถเข็นแบบต่างจังหวัดสี่ล้ออ่ะ คนซ้อนนั่งทับที่จับของรถเข็นไว้เห็นของเต็มเลยเหมือนกลับจากตลาด  

แท็กซี่มันชลอช้าลงมาก  จนจอดสนิดเลยดูเหมือนจะให้มอเตอร์ไซค์ผ่านไปก่อน แต่เราว่าเหมือนมันกำลังตัดสินใจมากกว่า คงสับสนเพราะมองซ้ายตลอด  มันไม่มองมอเตอร์ไซค์เลย  เราเลยบอกเลี้ยวขวาเลยละกัน ทางลัดช้าอย่างนี้ไม่ทันงาน เลี้ยวขวานี่แหละไปถึงตลาดพี่จอด เดี๋ยวหนูขึ้นรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างดีกว่ารถไม่ติดเร็วดี  พูดยังไม่ทันจบ เครื่องกระตุกและดับเลย 

คงจะตกใจคิดว่าเรารู้เส้นทางแน่ ถึงได้รู้ว่ามีตลาด  มันเลี้ยวขวาไม่หันมองเราในกระจกอีกเลย  เราลุ้นแทบแย่ และก็จริงอย่างที่คิด มีตลาดเช้าจริงๆ ตลาดเล็กๆ  แต่ออกไปไกลจากแยกมากๆ   จนใจเริ่มเสียอีกรอบ เราขอลงตรงนั้นมันบอกไม่ต้องขึ้นถนนใหญ่แล้ว  พูดห้วนๆเสียงแข็งๆ

ประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆก็มาถึงสนามบิน ขับไวนะรถไม่ติดด้วย  เท่าที่ดูทางจากตลาดตรงนั้นมาถึงสนามบิน  ไกลเอาเรื่อง  มันพาไปไหนมาวะ เราออกจากโรงแรมตีห้า ถึงสนามบินดอนเมืองหกโมงครึ่งเกือบเจ็ดโมง 

เข้าไปในสนามบินเราบอกพี่จอดเหอะ  กำลังจะดูราคายังไม่ทันเห็น  มันเอามือไปกดมิตเตอร์ลบไปเรียบร้อย  อ่าว เราถามเท่าไร มันบอกห้าร้อยละกัน  ป๊าดๆๆ  นี่ ku นั่งรถลีมูซีนมาหรือไงเนี่ย  คิดในใจแต่ยอมจ่ายให้มันไป  นึกซะว่าซื้อชีวิตตัวเอง เอาห้าร้อยฟาดเคราะห์ 


จำไว้นะสาวๆ  ขึ้นแท็กซี่อย่ามัวนั่งชมวิวแบบเรา  ดูทางด้วย  มีโทรศัพย์ใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่าแกล้งคุยคนเดียวเหมือนเรา เราไม่กล้าโทรกลับบ้านกลัวแม่ห่วง เลยใช้วิธีนั้น แต่ขอบอกเป็นความคิดที่แย่มาก  ควรจะโทรบอกคนที่บ้านดีที่สุด

อย่างน้อยถ้าเกิดอะไรขึ้นถึงชีวิต  เค้าอาจจะโทรแจ้งตำรวจมาช่วยทัน  เราโชคดีที่มันจับไม่ได้ว่าเราคุยคนเดียว ไม่งั้นป่านนี้คงไม่ได้มานั่งเขียนอยู่นี่แน่ อ่อ..แล้วนั่งหลังคนขับ  เพราะมันจะหันไปเอามีดหรือปืนจี้คุณไม่ได้  ที่สำคัญมีสติ ใจกล้าด้วย โทรหาใครก็ได้ บอกทะเบียนรถดังๆไปเลย  


แต่ใช้ไม่ได้ผลเสมอไปนะ  แบบคันที่เรานั่งคงเป็นรถคนอื่น  เพราะตอนที่เราพูดเรื่องทะเบียนมันไม่ได้ตกใจเลย  อ่อ..คุณต้องมองสองข้างทางดีๆ  อะไรที่พอจะช่วยชีวิตตัวเองได้พูดไว้ก่อน  ถูกผิดเสี่ยงดวงเอา ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย อย่าแสดงอาการกลัวให้มันเห็นเชียวนะ  กลัวในใจพอ  เก็บอาการให้ได้ พูดเสียงหนักแน่น ปากอย่าสั่น ใช้จิตวิทยานะกับคนพวกนี้ ก็หวังที่เขียนนี่คงมีประโยชน์กับสาวๆหนุ่มๆบ้างไม่มากก็น้อย  และอีกอย่างที่หวังคือขออย่าให้โจรหน้าไหนมามาอ่านบมความนี้เลย สาธุ  เดี๋ยวมันจะหาทางรับมือซะก่อน  เหอ เหอ
 

ไม่มีความคิดเห็น: